5 รูปแบบประกันชีวต เลือกแบบไหนดี
ผมก็เคยอยากซื้อประกันชีวิตเพื่อวางแผนด้านการเงิน และ คุ้มครองครอบครัว แต่พบว่าแบบประกันชีวิตมีทั้งหมด 5 แบบแล้วแบบนี้จะเลือกแบบไหนดีวันนี้มีคำตอบให้นะครับ
แบบที่ 1. ชั่วระยะเวลา (Term Insurance)
เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองในชั่วระยะเวลาที่จำกัด บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้กับผู้รับประโยชน์ของพี่ๆ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ในระยะเวลาที่กำหนด เช่น 1 ปี 5 ปี 10 ปี 20 ปี 25 ปี หรือ 30 ปี แต่ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาในการคุ้มครองไปแล้ว ผู้เอาประกันภัยยังมีชีวิตอยู่ สัญญาถือเป็นอันสิ้นสุดลงผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้รับเงินชดเชยนะครับ
โดยสัญญาประกันชีวิตแบบนี้ให้ ความคุ้มครองจากการเสียชีวิต เพียงอย่างเดียว ไม่มีผลประโยชน์ในด้านสะสมทรัพย์รวมอยู่ด้วย เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่นๆ ซึ่งเหมาะกับหัวหน้าครอบครัวหรือผู้ที่มีหนี้สินที่ต้องการทุนประกันที่สูง และ ต้องการจ่ายเบี้ยที่ต่ำ
จุดเด่นของแบบชั่วระยะเวลา
1. เน้นทุนคุ้มครองสูง
2. จ่ายเบี้ยประกันน้อย
3. เหมาะกับวางแผนชำระหนี้สิน
4. เหมาะกับคนที่ชอบความประหยัด
แบบที่ 2. ตลอดชีพ (Whole Life Insurance)
เป็นการประกันชีวิตที่จ่ายเบี้ยในชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5, 10, 15 20 ปี หรือเลือกแบบ 99 ปีก็มีนะครับ แต่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ (ถึงอายุ 90 - 99 ปีแล้วแต่แบบประกัน) โดยหากผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบสัญญา จะได้เงินทุนประกันไปแล้วนะครับ แต่หากเสียชีวิตในระยะเวลาที่คุ้มครอง ผู้รับผลประโยชน์จะได้เงินทุนประกันแทน
ประกันชีวิตแบบนี้จะมีเบี้ยประกันที่สูงกว่า แบบชั่วระยะเวลานะครับพี่ๆ เนื่องจากมีเงินส่วนหนึ่งเป็นเงินเก็บ จึงมีมูลค่าเงินสดอยู่ในกรมธรรม์ ซึ่งเราสามารถกู้เงินในกรมธรรม์ หรือ เวนคืนกรมธรรม์ได้ หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินก่อนกรมธรรม์ครบ
สัญญา แต่ถ้าส่งเบี้ยประกันยังไม่นาน อาจยังไม่มีมูลค่าเงินสด หรือ มีไม่มากพอนะครับพีๆ (ให้ดูที่ตารางกรมธรรม์ของคุณประกอบด้วย) โดยแบบนี้จะเหมาะกับหัวหน้าครอบครัว หรือ ผู้ที่มีภาระหนี้สิน ที่ต้องการความคุ้มครองระยะยาว และ ด้วย
ความคุ้มครองที่ยาว จึงเหมาะจะใช้เป็นประกันชีวิตหลัก สำหรับซื้อสัญญาเพิ่มเติมต่าง ๆ แนบได้นะครับ
โดยส่วนตัวผมพอศึกษาแบบประกันลึกๆ แล้วชอบแบบนี้ที่สุด เพราะจ่ายเบี้ยไม่แพงมาก แต่คุ้มครองยาวที่สุด
จุดเด่นของแบบตลอดชีพ
1. เน้นทุนคุ้มครองสูง คุ้มครองยาวถึง 90-99 ปี
2. จ่ายเบี้ยประกันน้อย คนที่ชอบความคุ้มค่าทั้งเรื่องทุนประกัน
3. เหมาะกับวางแผนชำระหนี้สิน กองทุนมรดก และ วางแผนภาษี
แบบที่ 3. สะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)
เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา (ซึ่งรวมไปถึงเงินคืนรายงวดและเงินปันผลตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์) หรือ จ่ายเงินทุนประกันให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาเอาประกันภัยให้กับพี่ๆครับ
การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ซึ่งส่วนของการออมทรัพย์คือ ส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด ถือเป็นเครื่องมือออมเงินที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในเรื่องของการ
สร้างวินัยการออมระยะยาวอาทิ 2, 3 , 5 ,10, 15 หรือเลือกแบบ 20 ปี ก็มีนะครับ และ ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเฉลี่ยประมาณ 1-4% ต่อปี เมื่อเทียบกับการออมเงินในธนาคารแบบปกตินะครับพี่ๆ
โดยประกันแบบนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการเก็บเงินระยะยาว ควบคู่ไปกับการมีความคุ้มครอง ต้องการได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนและ สามารถใช้เพื่อเป็นเงินเกษียณอายุได้ อย่างไรก็ตามด้วยเบี้ยประกันที่เท่ากัน แบบนี้เราจะได้ทุนประกันที่ต่ำกว่าแบบชั่วระยะเวลา และ แบบตลอดชีพ จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการทุนประกันสูงๆ
จุดเด่นของแบบสะสมทรัพย์
1. เน้นเก็บออมเงินที่เป็นระบบ
2. หวังผลตอบแทนการออม 1-4% ต่อปี
3. ออมสั้นและมีความคุ้มครอง 10-15 ปี
4. วางแผนภาษี 100,000 แรกได้ดี
แบบที่ 4. แบบบำนาญ (Annuities Insurance)
เป็นประกันชีวิตที่เน้นการออมเงินคล้ายประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ โดยผู้เอาประกันต้องชำระเงินค่าเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ทำไว้ แต่รูปแบบการคืนเงิน จะไม่มีการคืนเงินระหว่างทาง ผู้ถือกรมธรรม์ต้องออม
เงินอย่างต่อเนื่องจนถึงอายุเกษียณ (เช่น 55, 60 หรือ 65 ปี แล้วแต่แบบ) และจะได้รับเงินคืนในรูปแบบของเงินบำนาญ จนถึงอายุ 85 หรือ 90 ปี แล้วแต่แบบนะครับพี่ๆ
ระยะเวลาการจ่ายเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ ซึ่งเราควรพิจารณาเลือกแบบบำนาญให้ตรงกับแผนการใช้เงินในอนาคตของเราด้วยนะครับพี่ๆ
โดยประกันแบบนี้เหมาะกับคนที่อยากได้รายได้สม่ำเสมอ เป็นเงินบำนาญสำหรับการเกษียณอายุของตัวเอง แต่เนื่องจากเป็นประกันที่เน้นเรื่องการเก็บเงินเป็นหลัก จึงให้ความคุ้มครองน้อยเมื่อเทียบกับแบบประกันชีวิตอื่นนะครับพี่ๆ
จุดเด่นแบบประกันบำนาญ
1. ต้องการวางแผนการเงินไว้ใช้หลังเกษียณในจำนวนที่แน่นอน
2. สามารถรับความเสี่ยงได้น้อยกว่าการลงทุนเพื่อการเกษียณช่องทาง อื่นๆ
3. ต้องการสิทธิประโยชน์ในการป้องกันความเสี่ยง (ต้องการความคุ้มครองชีวิต)
4. ต้องการสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีสูงสุด 200,000 บาทต่อปี
แบบที่ 5. ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Linked Insurance)
ประกันชีวิตควบการลงทุน หรือเรียกย่อๆ ว่า “Unit Linked” ถือเป็นรูปแบบกรมธรรม์แบบใหม่ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากเปิดโอกาสให้ผู้เอาประกันสามารถใช้บริหารความเสี่ยงพร้อมๆ ไปกับการสร้างโอกาสในการลงทุน เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในกองทุนรวมที่บริหารโดยมืออาชีพนะครับพี่ๆ
กลไกของ Unit Linked สามารถตอบโจทย์ความต้องการสะสมความมั่งคั่งผ่านทางการเลือกลงทุนในกองทุนรวมเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มเติมตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ และยังสามารถตอบโจทย์ในด้านการคุ้มครองชีวิตของบุคคลที่อยู่ในความดูแล
ของเรา ผ่านทางสินไหมทดแทนที่จะได้รับในกรณีเสียชีวิตได้ด้วย อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ เช่น เพิ่มหรือลดทุนประกัน ให้สอดคล้องกับความจำเป็นในชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม กรมธรรม์แบบนี้ไม่มีการรับประกันมูลค่า
กรมธรรม์ (ไม่การันตีผลตอบแทน) เนื่องจากมูลค่ากรมธรรม์ขึ้นอยู่กับมูลค่าหน่วยลงทุน โดยอาจสูงขึ้นหรือต่ำลงตามผลประกอบการของกองทุนรวม
โดยประกันแบบนี้เหมาะกับคนที่มีความเข้าใจในการลงทุน ที่ต้องการจะสะสมความมั่งคั่ง และในขณะเดียวกันก็ต้องการที่จะจัดเตรียมทุนทรัพย์ให้ผู้ที่อยู่ในความดูแลหากเสียชีวิตไปพร้อมกัน
จะเห็นได้ว่า ประกันชีวิตแต่ละแบบมีข้อดี และ ข้อเสียที่แตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละคนก็มีความต้องการประกันในแบบที่ต่างกัน ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกซื้อประกันชีวิตให้เหมาะสมกับตัวเองทั้งในแง่ความจำเป็น ความเสี่ยงภัย และความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน
จุดเด่นของประกันชีวิตควบการลงทุน
1. ได้ทั้งความคุ้มครองและการลงทุนไปพร้อมกัน
2. มีความยืดหยุ่นสูงปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ
3. มีระบบช่วยดูแลพอร์ตการลงทุน
4. ออกแบบและวางแผนการเงินได้เอง
พี่ๆ ทางบ้านชอบแบบไหนที่สุดสามารถทักมาคุยกัน หรือ สอบถามแบบประกันที่สนใจได้นะครับที่ Line
