ขั้นตอนง่าย ๆ ในการดูแลยางรถยนต์อย่างมืออาชีพ

112 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ขั้นตอนง่าย ๆ ในการดูแลยางรถยนต์อย่างมืออาชีพ

 ยางรถยนต์ คือส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ที่สัมผัสพื้นถนนโดยตรง ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักของตัวรถ ดูดซับแรงกระแทก และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ โดยยางรถยนต์มีบทบาทสำคัญในการควบคุมรถยนต์และรักษาเสถียรภาพในการขับเคลื่อน

ส่วนประกอบของยางรถยนต์
ดอกยาง (Tread)

  • เป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง
  • มีลวดลายที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนน ลดการลื่นไถล และช่วยระบายน้ำ

แก้มยาง (Sidewall)

  • เป็นส่วนด้านข้างของยางที่ป้องกันความเสียหายจากแรงกระแทก
  • ระบุข้อมูลสำคัญ เช่น ขนาดยาง, ความกว้าง, และวันผลิต

โครงยาง (Carcass)

  • เป็นโครงสร้างภายในของยาง ทำจากเส้นใยหรือเหล็กที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรง

เข็มขัดรัดหน้ายาง (Belt)

  • ชั้นเสริมที่ช่วยเพิ่มความคงทนต่อการบิดตัวของยาง

ไหล่ยาง (Shoulder)

  • ขอบของยางที่เชื่อมต่อระหว่างดอกยางและแก้มยาง ช่วยในการกระจายแรง

ขอบยาง (Bead)

  • ส่วนที่ช่วยยึดยางกับกระทะล้อ


ประเภทของยางรถยนต์

ยางรถยนต์สำหรับถนนเรียบ (Highway Tires)

  • ใช้กับถนนทั่วไป ให้ความนุ่มนวลและเสียงรบกวนต่ำ

ยางสำหรับออฟโรด (Off-Road Tires)

  • มีดอกยางลึกและใหญ่ เหมาะสำหรับพื้นถนนที่ขรุขระหรือทางลูกรัง

ยางสำหรับทุกสภาพถนน (All-Terrain Tires)

  • ใช้ได้ทั้งบนถนนเรียบและออฟโรด

ยางสมรรถนะสูง (Performance Tires)

  • ออกแบบสำหรับรถสมรรถนะสูง ให้การควบคุมและการยึดเกาะที่ดี


ประโยชน์ของยางรถยนต์

  • เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
  • ช่วยลดแรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือน
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรถ
  • ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

 

ยางรถยนต์คืออะไร?
ยางรถยนต์เป็นส่วนสำคัญของรถยนต์ที่ทำหน้าที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง มีบทบาทสำคัญในการรองรับน้ำหนักรถ ดูดซับแรงกระแทก และช่วยควบคุมการขับขี่ โดยเฉพาะในด้านการยึดเกาะถนน การกระจายน้ำหนัก และลดแรงเสียดทาน

โครงสร้างของยางรถยนต์
ยางรถยนต์ถูกออกแบบมาให้มีความแข็งแรง ทนทาน และเหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท โดยมีโครงสร้างหลักดังนี้:

1. ดอกยาง (Tread)

  • ส่วนบนสุดของยางที่สัมผัสกับพื้นถนน
  • มีลวดลายช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนน ลดการลื่นไถล และระบายน้ำ
  • เป็นส่วนที่สึกหรอเร็วที่สุด

2. เข็มขัดรัดหน้ายาง (Belt)

  • ชั้นรองใต้ดอกยาง ทำจากเส้นใยเหล็กหรือวัสดุเสริมแรงอื่น ๆ
  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรง ทนทานต่อการเจาะ และกระจายแรงกดที่กระทำกับดอกยาง

3. โครงยาง (Carcass)

  • โครงสร้างหลักของยาง ทำหน้าที่รองรับแรงดันลมและน้ำหนักรถ
  • ทำจากเส้นใยที่ถักทอเป็นชั้น เช่น เส้นใยไนลอน โพลีเอสเตอร์ หรือเรยอน

4. ไหล่ยาง (Shoulder)
ส่วนโค้งระหว่างดอกยางกับแก้มยาง
ช่วยเสริมความแข็งแรงและการยึดเกาะในขณะเข้าโค้ง

5. แก้มยาง (Sidewall)

  • ด้านข้างของยาง เป็นส่วนที่ยืดหยุ่นมากที่สุด
  • ทำหน้าที่ปกป้องยางจากแรงกระแทกด้านข้าง และแสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ขนาดยาง ความกว้าง รหัสความเร็ว และวันผลิต

6. ขอบยาง (Bead)

  • ส่วนล่างสุดของยางที่สัมผัสกับกระทะล้อ
  • ทำจากเหล็กหรือสายไฟที่พันรอบด้วยยางพิเศษ เพื่อช่วยยึดยางให้แน่นกับล้อ

7. ชั้นในสุดของยาง (Inner Liner)

  • ชั้นป้องกันการรั่วซึมของลม ทำหน้าที่แทนยางในสำหรับยางแบบไม่มียางใน (Tubeless Tires)

8. ชั้นรองดอกยาง (Under Tread)

  • ชั้นที่อยู่ระหว่างดอกยางกับโครงยาง ช่วยลดความร้อนและเสริมความแข็งแรง

การออกแบบลวดลายดอกยาง
ลวดลายดอกยางมีผลต่อการขับขี่อย่างมาก โดยออกแบบตามลักษณะการใช้งาน:

  • ลายสมมาตร (Symmetrical): สำหรับถนนเรียบ ให้เสียงรบกวนต่ำ
  • ลายไม่สมมาตร (Asymmetrical): เพิ่มการยึดเกาะในโค้งและถนนเปียก
  • ลายทิศทางเดียว (Directional): ระบายน้ำได้ดี ลดความลื่นไถล

ความสำคัญของโครงสร้างยาง

  • ช่วยกระจายแรงและน้ำหนักของรถให้สมดุล
  • เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
  • ลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือน
  • รองรับแรงดันลมและแรงเสียดทาน

การเข้าใจโครงสร้างยางรถยนต์ช่วยให้สามารถเลือกยางที่เหมาะสมและดูแลรักษาได้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานและความปลอดภัยในการขับขี่!

 

วิธีทำความสะอาดยางรถยนต์อย่างถูกต้อง
การทำความสะอาดยางรถยนต์ไม่เพียงช่วยเพิ่มความสวยงาม แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาสมรรถนะของยางด้วย ต่อไปนี้คือ 4 วิธีง่าย ๆ

1. ล้างยางเบื้องต้น

  • ใช้สายยางฉีดน้ำล้างฝุ่น ดิน และเศษหินออกจากยาง
  • หากมีดินติดแน่นในร่องยาง ใช้แปรงขนอ่อนหรือไม้ปลายมนเล็ก ๆ ช่วยเขี่ยออก

2. ใช้แปรงและน้ำยาทำความสะอาด

  • เลือกน้ำยาสำหรับทำความสะอาดยางโดยเฉพาะ หรือใช้น้ำสบู่สูตรอ่อนโยนแทน
  • ใช้แปรงขนแข็งสำหรับยาง ขัดถูพื้นผิวยางและร่องดอกยางเป็นวงกลม เพื่อขจัดคราบฝังลึก
  • หลีกเลี่ยงน้ำยาที่มีสารกัดกร่อนซึ่งอาจทำลายเนื้อยาง

3. ล้างน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้ง

  • ฉีดน้ำล้างน้ำยาทำความสะอาดออกให้หมด
  • ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดให้แห้งเพื่อลดความชื้นสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดเชื้อรา

4. เคลือบยางเพื่อความเงางามและปกป้อง

  • ใช้น้ำยาเคลือบยางเพื่อเพิ่มความเงางามและป้องกันยางแตกลายงา
  • ทาน้ำยาในปริมาณพอเหมาะ แล้วเช็ดให้ทั่วพื้นผิวยาง
  • หลีกเลี่ยงการเคลือบยางมากเกินไป เพราะอาจทำให้ยางลื่น

การทำความสะอาดยางรถยนต์อย่างถูกต้องช่วยให้ยางดูใหม่และใช้งานได้นานขึ้น ควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอทุก    2-4 สัปดาห์ หรือหลังการเดินทางในพื้นที่ที่มีคราบสกปรกมาก!

 

 

ยางรถยนต์คืออะไร มีโครงสร้างเป็นยังไง?

อายุของยางรถยนต์ เป็นสิ่งสำคัญที่ควรตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ โดยสามารถดูได้จาก "วันที่ผลิตยาง" (Tire Manufacturing Date) ซึ่งระบุอยู่บนแก้มยางในรูปแบบรหัส DOT (Department of Transportation)

ตำแหน่งและวิธีการดูอายุยาง

ค้นหารหัส DOT

  • รหัสนี้มักอยู่บนแก้มยางด้านใดด้านหนึ่ง (ด้านนอกหรือติดกับตัวรถ)
  • จะขึ้นต้นด้วยคำว่า "DOT" และตามด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข เช่น DOT X2H3 0FNM 4922

ดูตัวเลข 4 หลักสุดท้ายของรหัส DOT

  • ตัวเลข 4 หลักสุดท้าย บอกถึงสัปดาห์และปีที่ผลิตยาง
  • 2 หลักแรก: หมายถึง สัปดาห์ที่ผลิต (1-52 สัปดาห์ของปี)
  • 2 หลักหลัง: หมายถึง ปีที่ผลิต

ตัวอย่าง

  • รหัส 4922 หมายถึง ยางผลิตในสัปดาห์ที่ 49 ของปี 2022 (ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน 2022)
  • รหัส 1219 หมายถึง ยางผลิตในสัปดาห์ที่ 12 ของปี 2019 (ประมาณกลางเดือนมีนาคม 2019)

 

อายุการใช้งานของยางรถยนต์

  • ยางรถยนต์ควรเปลี่ยนทุก 5-6 ปี นับจากวันที่ผลิต แม้จะยังดูใหม่และไม่มีรอยสึกหรอ
  • ในกรณีที่ใช้งานบ่อย หรือขับบนสภาพถนนที่ไม่ดี ยางอาจต้องเปลี่ยนเร็วกว่านั้น (เช่น 3-4 ปี)
  • สังเกต รอยแตกร้าว หรือ ความแข็งของยาง เพราะอาจเป็นสัญญาณว่ายางเริ่มเสื่อมคุณภาพ

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรซื้อยางที่มีอายุเกิน 6 เดือนถึง 1 ปี จากวันที่ผลิต (แม้จะยังไม่ได้ใช้งาน)
  • เก็บยางในสภาพที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงแสงแดด ความชื้น และความร้อนสูง เพื่อยืดอายุการใช้งาน

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • ควรตรวจเช็คยางเป็นประจำ โดยเฉพาะแรงดันลมและสภาพดอกยาง
  • หากพบปัญหา เช่น ยางสึกผิดปกติ หรือเสียงดังขณะขับขี่ ให้รีบตรวจสอบหรือเปลี่ยนยางทันที

การเข้าใจวิธีดูอายุยางและสังเกตสภาพยางช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ!

 

 

จะเกิดอะไรหากใช้งานยางรถยนต์เสื่อมสภาพ?
การใช้ยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพไม่เพียงแต่ลดประสิทธิภาพการขับขี่ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นี่คือผลกระทบหลักที่อาจเกิดขึ้น

1. ลดการยึดเกาะถนน

  • ความเสี่ยงในการลื่นไถล: ยางที่เสื่อมสภาพมีดอกยางที่สึกหรอ ซึ่งลดความสามารถในการยึดเกาะถนน โดยเฉพาะในสภาพถนนเปียกหรือเปียกน้ำ ทำให้รถง่ายต่อการลื่นไถล
  • การควบคุมรถที่เลวร้าย: การขับขี่ในทางโค้งหรือเปลี่ยนทิศทางจะยากขึ้น เนื่องจากยางไม่สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่

2. เพิ่มระยะเวลาการเบรก

  • .ระยะเบรกที่ยาวนานขึ้น: ยางที่สึกหรอทำให้ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการหยุดรถเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

3. ความปลอดภัยลดลง

  • ความเสี่ยงในการพังยาง: ยางที่เสื่อมสภาพมีโอกาสพังได้ง่ายขึ้น เช่น การแตกร้าว การฉีกขาด หรือการเกิดฟองอากาศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียการควบคุมรถขณะขับขี่
  • ความไม่เสถียรของรถ: ยางที่ไม่ดีสามารถทำให้รถมีความไม่เสถียรในการขับขี่ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ

4. ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันลดลง

  • แรงต้านทานที่เพิ่มขึ้น: ยางที่เสื่อมสภาพและมีดอกยางสึกหรอทำให้แรงต้านทานการหมุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ทำให้การประหยัดน้ำมันลดลง

5. การสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอของชิ้นส่วนรถยนต์

  • ผลกระทบต่อระบบกันสะเทือนและชิ้นส่วนอื่นๆ: ยางที่ไม่สมดุลหรือสึกหรอสามารถส่งผลกระทบต่อระบบกันสะเทือนและชิ้นส่วนอื่นๆ ของรถ ทำให้เกิดการสึกหรอเร็วขึ้นและต้องซ่อมแซมบ่อยขึ้น

6. การสะสมของความชื้นและเชื้อรา

  • การสะสมของน้ำและสิ่งสกปรก: ยางที่เสื่อมสภาพอาจมีการสะสมของน้ำและสิ่งสกปรกในดอกยาง ทำให้เกิดเชื้อราและการกัดกร่อน ซึ่งส่งผลให้ยางเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น

คำแนะนำเพิ่มเติม
1.  ตรวจสอบดอกยางและแก้มยางอย่างสม่ำเสมอ 

  • ดูว่ามีรอยแตกร้าว สึกหรอ หรือชำรุดหรือไม่

2. รักษาความดันลมยางให้เหมาะสม

  • ความดันลมที่ไม่เหมาะสมสามารถทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้นและลดประสิทธิภาพการขับขี่

3. หมุนยางเป็นประจำ

  • การหมุนยางช่วยให้การสึกหรอเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งยืดอายุการใช้งานของยาง

4. เลือกใช้ยางที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน

  • ยางที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพถนนและการขับขี่ที่คุณใช้งานจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

สรุป
การใช้งานยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพมีผลกระทบหลายด้านที่ส่งผลต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความทนทานของรถยนต์ การตรวจสอบและเปลี่ยนยางอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุและยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ของคุณ ควรตรวจสอบสภาพยางทุกเดือนและเปลี่ยนยางที่มีอายุเกินหรือสึกหรอจนเกินมาตรฐานทันที


 

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่                    
โทรหาคูนย์บริการลูกค้า ธีร์ ทำดีแคร์  096-192-9698

 

 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้