ฝ่าย "ถูก" ในกรณีของอุบัติเหตุ หมายถึง ฝ่ายที่ไม่มีความผิดหรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น กล่าวคือ ฝ่ายที่ปฏิบัติตามกฎจราจรและกฎหมายอย่างถูกต้อง และได้รับความเสียหายจากการกระทำของ "ฝ่ายผิด" ที่มีพฤติกรรมขัดต่อกฎหรือกฎหมาย เช่น ขับรถประมาท หรือฝ่าฝืนสัญญาณจราจร
1.)ค่าเสียหายต่อยานพาหนะเมื่อเกิดการชน หมายถึง ค่าใช้จ่ายหรือค่าชดเชยที่เกิดจากความเสียหายที่ยานพาหนะได้รับในอุบัติเหตุ ซึ่งฝ่ายผิดต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายนี้ให้กับฝ่ายถูกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ประกันภัยของคู่กรณีจะออกใบเคลม เพื่อระบุยืนยันการเกิดอุบัติเหตุ และส่วนที่รับผิดชอบมาให้เบื้องต้น จากการสำรวจของพนักงานสำรวจอุบัติเหตุ เพื่อนำไปเคลมซ่อมในภายหลัd
1.การเรียกร้องผ่านบริษัทประกันภัย
กรณีที่คุณหรือคู่กรณีมีประกันภัย การเรียกร้องค่าเสียหายจะดำเนินการผ่านบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็น
1.1. ประกันภัยรถยนต์ของฝ่ายถูก (ผู้เรียกร้อง)
- ประกันภัยชั้น 1: ครอบคลุมค่าเสียหายของรถคุณ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด
- ประกันภัยชั้น 2/2+ หรือ 3+: ครอบคลุมเฉพาะกรณีที่คุณเป็นฝ่ายถูกหรือมีคู่กรณี
- เอกสารที่ต้องใช้
- สำเนากรมธรรม์ประกันภัย
- ใบแจ้งความเสียหายจากบริษัทประกัน
- ภาพถ่ายความเสียหาย
1.2. ประกันภัยของฝ่ายผิด (คู่กรณี)
- หากฝ่ายผิดมีประกันภัย บริษัทประกันของฝ่ายผิดจะรับผิดชอบค่าเสียหายของรถคุณ
- ขั้นตอน
- แจ้งบริษัทประกันของฝ่ายผิด
- บริษัทประกันของฝ่ายผิดจะประเมินและจัดการชดใช้ค่าเสียหาย
2. การเรียกร้องโดยตรงจากฝ่ายคู่กรณี (ไม่ผ่านประกัน)
กรณีที่คู่กรณีไม่มีประกันภัยหรือไม่ยอมรับผิด คุณสามารถเรียกร้องค่าเสียหายโดยตรงจากคู่กรณี หรือผ่านการดำเนินคดีทางกฎหมาย
2.1. เรียกร้องโดยตรง
- ติดต่อคู่กรณีและเจรจาเรียกค่าเสียหาย
- ใช้เอกสารหลักฐาน เช่น
- ใบเสนอราคาค่าซ่อม
- ภาพถ่ายความเสียหาย
- พยานบุคคลหรือกล้องหน้ารถ
2.2. ดำเนินคดีทางกฎหมาย
หากคู่กรณีปฏิเสธความรับผิดชอบ คุณสามารถดำเนินการผ่าน
- ตำรวจ: เพื่อให้มีการบันทึกเหตุการณ์และไกล่เกลี่ย
- ศาล: ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
ข้อดี-ข้อเสียของแต่ละรูปแบบ
2.) ค่าเคลื่อนย้ายรถที่เกิดอุบัติเหตุ
ค่าเคลื่อนย้ายรถที่เกิดอุบัติเหตุ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนำรถที่ประสบอุบัติเหตุออกจากที่เกิดเหตุไปยังสถานที่ซ่อมแซมหรือพื้นที่จัดเก็บ เช่น อู่ซ่อมรถ หรือศูนย์บริการ โดยค่าใช้จ่ายนี้สามารถเรียกร้องได้จากฝ่ายผิดหรือบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง
กรณีที่สามารถเรียกร้องค่าเคลื่อนย้ายได้
1.ฝ่ายผิดรับผิดชอบโดยตรง
- หากคุณเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายผิดต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายรถ
- รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างนำรถไปยังสถานที่ซ่อม
2. การใช้ประกันภัยรถยนต์
- หากคุณมีประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 หรือ 2+ บริษัทประกันของคุณอาจครอบคลุมค่าใช้จ่ายนี้
- ในกรณีที่ฝ่ายผิดมีประกันภัย บริษัทประกันของฝ่ายผิดจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
3. กรณีไม่มีประกัน หรือฝ่ายผิดไม่มีประกัน
- คุณสามารถเรียกร้องค่าเคลื่อนย้ายรถได้โดยตรงจากฝ่ายผิด หรือผ่านการดำเนินคดี
สิ่งที่ครอบคลุมในค่าเคลื่อนย้ายรถ
- ค่าบริการรถยก/รถลาก (Tow Truck)
- ค่าใช้จ่ายในการขนส่งรถจากที่เกิดเหตุไปยังอู่หรือศูนย์บริการ
- ค่าจอดรถในสถานที่เก็บรักษารถ (ถ้ามี)
หลักฐานที่จำเป็น
1. ใบเสร็จหรือใบแจ้งหนี้จากบริการรถยก/รถลาก
2. ภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุและสภาพรถก่อนการเคลื่อนย้าย
3. บันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ถ้ามี)
4. ใบแจ้งเคลมประกัน (หากใช้บริการประกันภัย)
3.) ค่ารักษาตัว
- ค่ารักษาตัวในกรณีที่เป็นฝ่ายถูกเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของการบาดเจ็บ, ระดับความรุนแรงของอาการ, โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่ไปใช้บริการ, และรูปแบบของประกันสุขภาพที่คุณมี หากคุณมีประกันสุขภาพหรือประกันภัยรถยนต์บางประเภท ก็อาจจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ในกรณีนี้
โดยทั่วไปแล้ว ค่ารักษาพยาบาลในกรณีอุบัติเหตุจะครอบคลุมตามสิ่งที่ประกันได้ตกลงไว้ในกรมธรรม์ เช่น ค่าหมอ, ค่าห้องพักในโรงพยาบาล, ค่ายา, หรือค่าผ่าตัด หากไม่มีก็อาจต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
4.) ค่าทำขวัญ
- ค่าทำขวัญมีลักษณะคล้ายกับค่ารักษาตัวทางกาย แต่ค่าสินไหมส่วนนี้ใช้เยียวยาทางใจ โดยบริษัทประกันภัยคู่กรณีมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ ซึ่งคุณอาจจะเรียกร้องไปก่อน เพื่อไม่ให้เสียสิทธิในการรับค่าทำขวัญ จากการเกิดอุบัติเหตุ
5.) ค่าขาดประโยชน์จากรถยนต์
- หมายถึง ค่าเสียหายที่คุณสูญเสียไปเนื่องจากไม่สามารถใช้รถยนต์ของคุณในช่วงเวลาที่รถอยู่ระหว่างการซ่อมแซมจากอุบัติเหตุที่คุณเป็น "ฝ่ายถูก" โดยทั่วไปสามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์นี้จากคู่กรณีหรือบริษัทประกันของคู่กรณีได้
รายละเอียดของค่าขาดประโยชน์
ค่าเช่ารถทดแทน
- หากคุณต้องการใช้รถในระหว่างที่รถของคุณซ่อม สามารถเรียกร้องค่าเช่ารถในจำนวนวันที่รถอยู่ในอู่ซ่อม
- ค่าชดเชยอาจอิงตามค่าเช่ารถในท้องตลาด (รถยนต์ทั่วไปประมาณ 700-1,500 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับประเภทของรถ)
ค่าชดเชยรายวัน (กรณีไม่ได้เช่ารถ)
- หากคุณไม่ได้เช่ารถ สามารถเรียกร้องค่าชดเชยรายวันแทนได้ โดยปกติจะเป็นจำนวนเงินเฉลี่ยที่คำนวณตามความเหมาะสม เช่น 500-1,000 บาทต่อวัน
- การคำนวณจะขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่รถอยู่ในอู่
เอกสารที่ใช้เรียกร้อง
1. ใบประเมินเวลาซ่อมจากอู่หรือศูนย์บริการ
2.ใบเสร็จค่าซ่อมรถ
3.สำเนาใบแจ้งความหรือเอกสารบันทึกประจำวันจากตำรวจ
4.หลักฐานค่าเช่ารถ (ถ้ามี)
การเรียกร้องค่าขาดประโยชน์
กรณีคู่กรณีมีประกันภัย
- ติดต่อบริษัทประกันภัยของคู่กรณีเพื่อแจ้งเรื่องและยื่นคำร้อง
- ประกันภัยภาคสมัครใจ (เช่น ชั้น 1, 2+, 3+) ของคู่กรณีมักจะครอบคลุมค่าขาดประโยชน์นี้
กรณีคู่กรณีไม่มีประกันภัย
- คุณต้องเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากคู่กรณีโดยตรง หรือดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อเรียกค่าเสียหาย
ข้อควรทราบ
- บริษัทประกันภัยอาจมีวงเงินจำกัดสำหรับค่าเคลื่อนย้ายรถ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรมธรรม์
- หากเรียกร้องโดยตรงจากคู่กรณี อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบเอกสารและการเจรจา
6.) ค่าเคลื่อนย้ายรถที่เกิดอุบัติเหตุ
ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน คือค่าชดเชยที่คุณสามารถเรียกร้องได้เมื่อทรัพย์สินของคุณได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุที่คุณเป็น "ฝ่ายถูก" ซึ่งรวมถึงทรัพย์สินทุกอย่าง ไม่ใช่แค่รถยนต์ โดยรายละเอียดมีดังนี้
1. ความเสียหายต่อรถยนต์
- ค่าซ่อมแซมรถยนต์:เรียกร้องค่าซ่อมแซมตามความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยใช้ใบประเมินค่าซ่อมจากอู่หรือศูนย์บริการเป็นหลักฐาน
- สามารถซ่อมที่อู่หรือศูนย์บริการที่คุณเลือกได้ (ถ้าประกันคู่กรณีไม่กำหนด)
ค่าเปลี่ยนอะไหล่
- หากจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ เช่น กันชน ไฟหน้า หรือกระจกรถ คุณสามารถเรียกค่าทดแทนนี้ได
ค่ารถยนต์ใหม่ (กรณีเสียหายทั้งคัน)
- หากรถเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ (Total Loss) คุณสามารถเรียกร้องมูลค่ารถ ณ เวลาที่เกิดเหตุจากคู่กรณีหรือบริษัทประกันภัย
2. ทรัพย์สินอื่นที่อยู่ในรถ
- เช่น โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป กล้องถ่ายรูป หรือของมีค่าอื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ
- คุณต้องมีหลักฐานแสดงมูลค่าทรัพย์สินนั้น เช่น ใบเสร็จซื้อของ รูปถ่ายทรัพย์สินก่อนเกิดเหตุ
3. ทรัพย์สินนอกตัวรถ
- เช่น รั้วบ้าน ป้ายบอกทาง เสาไฟฟ้า หรือทรัพย์สินส่วนบุคคลอื่นที่ถูกชนหรือได้รับความเสียหาย
- การเรียกร้องขึ้นอยู่กับการประเมินมูลค่าทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่
4. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่อง
- ค่าลากรถ: หากรถของคุณต้องใช้บริการรถลากหลังเกิดเหตุ คุณสามารถเรียกค่าลากรถจากคู่กรณีหรือประกันของเขาได้
- ค่าเดินทางเพิ่มเติม: เช่น ค่าแท็กซี่หรือค่ารถสาธารณะในระหว่างที่รถกำลังซ่อมแซม
5. เอกสารที่ใช้เรียกร้องค่าเสียหาย
- ใบประเมินค่าซ่อมแซมรถหรือทรัพย์สินอื่น
- ใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าลากรถ ค่าซ่อม ค่าทดแทน
- รูปถ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้น
- สำเนาบันทึกประจำวันจากตำรวจ (เพื่อยืนยันว่าคุณเป็นฝ่ายถูก)
7. ค่าเสื่อมราคา
ค่าเสื่อมราคา ในกรณีอุบัติเหตุ หมายถึง มูลค่าของทรัพย์สิน (เช่น รถยนต์) ที่ลดลงเนื่องจากความเสียหายหรือการซ่อมแซม แม้ว่ารถจะถูกซ่อมจนกลับมาใช้งานได้ แต่ราคาขายต่อของรถมักลดลงเพราะมีประวัติการชนหรือการซ่อม
ลักษณะของค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ
- เกิดจากความเสียหายที่ไม่สามารถซ่อมคืนสภาพเดิมได้ 100%เช่น การซ่อมแซมตัวถัง, สีรถ หรือเครื่องยนต์
- เกิดจากประวัติการชนที่ส่งผลต่อมูลค่ารถ รถที่เคยชนหนักจะมีราคาขายต่อในตลาดต่ำกว่ารถที่ไม่มีประวัติ
การเรียกร้องค่าเสื่อมราคา
- คุณสามารถเรียกร้องค่าเสื่อมราคาจากฝ่ายผิดหรือบริษัทประกันภัยของฝ่ายผิดได้ในกรณีที่คุณเป็นฝ่ายถูก
1.ประเมินมูลค่าความเสียหาย
- ใช้บริการจากผู้ประเมินอิสระ (เช่น บริษัทประเมินทรัพย์สิน) หรืออู่ซ่อมที่มีความเชี่ยวชาญ
- เปรียบเทียบมูลค่ารถก่อนและหลังการซ่อม
2.เตรียมเอกสาร
- หลักฐานการประเมินราคาก่อนและหลังการซ่อม
- ใบเสนอราคาหรือใบเสร็จค่าซ่อม
- รายละเอียดของเหตุการณ์ (เช่น รายงานอุบัติเหตุ, รูปถ่ายความเสียหาย)
3. ยื่นคำร้องต่อบริษัทประกันภัยหรือฝ่ายผิด
- แจ้งความประสงค์ขอชดเชยค่าเสื่อมราคาพร้อมแนบหลักฐาน
4.หากไม่ได้รับการชดเชยที่เหมาะสม
- สามารถดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
กรณีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทประกันภัย
- ประกันชั้น 1: บริษัทประกันของคุณอาจไม่ครอบคลุมค่าเสื่อมราคา แต่คุณสามารถเรียกร้องจากฝ่ายผิดได้
- ประกันของฝ่ายผิด: บริษัทประกันอาจพิจารณาค่าเสื่อมราคาตามความเหมาะสม
ตัวอย่างค่าเสื่อมราคาที่เรียกร้องได้
- รถยนต์ของคุณมูลค่า 700,000 บาท ก่อนเกิดเหตุ แต่หลังการซ่อม มูลค่าลดลงเหลือ 650,000 บาท
- คุณสามารถเรียกร้องค่าเสื่อมราคาจำนวน 50,000 บาท
ข้อควรทราบ
- ค่าเสื่อมราคามักถูกเจรจาหรือประเมินจากหลายปัจจัย เช่น อายุรถ, สภาพก่อนเกิดเหตุ, และลักษณะการซ่อม
- ไม่ใช่ทุกกรณีที่สามารถเรียกร้องค่าเสื่อมราคาได้ ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของหลักฐานและการตกลงกับคู่กรณี
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
โทรหาคูนย์บริการลูกค้า ธีร์ ทำดีแคร์ 096-192-9698