ฝ่าย "ถูก" ในอุบัติเหตุสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง

102 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ฝ่าย "ถูก" ในอุบัติเหตุสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง

 ฝ่าย "ถูก" ในกรณีของอุบัติเหตุ หมายถึง ฝ่ายที่ไม่มีความผิดหรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น กล่าวคือ ฝ่ายที่ปฏิบัติตามกฎจราจรและกฎหมายอย่างถูกต้อง และได้รับความเสียหายจากการกระทำของ "ฝ่ายผิด" ที่มีพฤติกรรมขัดต่อกฎหรือกฎหมาย เช่น ขับรถประมาท หรือฝ่าฝืนสัญญาณจราจร

 

1.)ค่าเสียหายต่อยานพาหนะเมื่อเกิดการชน หมายถึง ค่าใช้จ่ายหรือค่าชดเชยที่เกิดจากความเสียหายที่ยานพาหนะได้รับในอุบัติเหตุ ซึ่งฝ่ายผิดต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายนี้ให้กับฝ่ายถูกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ประกันภัยของคู่กรณีจะออกใบเคลม เพื่อระบุยืนยันการเกิดอุบัติเหตุ และส่วนที่รับผิดชอบมาให้เบื้องต้น จากการสำรวจของพนักงานสำรวจอุบัติเหตุ เพื่อนำไปเคลมซ่อมในภายหลัd

1.การเรียกร้องผ่านบริษัทประกันภัย

กรณีที่คุณหรือคู่กรณีมีประกันภัย การเรียกร้องค่าเสียหายจะดำเนินการผ่านบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็น

 

1.1. ประกันภัยรถยนต์ของฝ่ายถูก (ผู้เรียกร้อง)

  • ประกันภัยชั้น 1: ครอบคลุมค่าเสียหายของรถคุณ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด
  • ประกันภัยชั้น 2/2+ หรือ 3+: ครอบคลุมเฉพาะกรณีที่คุณเป็นฝ่ายถูกหรือมีคู่กรณี
  • เอกสารที่ต้องใช้
  1. สำเนากรมธรรม์ประกันภัย
  2. ใบแจ้งความเสียหายจากบริษัทประกัน
  3. ภาพถ่ายความเสียหาย

1.2. ประกันภัยของฝ่ายผิด (คู่กรณี)

  • หากฝ่ายผิดมีประกันภัย บริษัทประกันของฝ่ายผิดจะรับผิดชอบค่าเสียหายของรถคุณ
  • ขั้นตอน
  1. แจ้งบริษัทประกันของฝ่ายผิด
  2. บริษัทประกันของฝ่ายผิดจะประเมินและจัดการชดใช้ค่าเสียหาย

2. การเรียกร้องโดยตรงจากฝ่ายคู่กรณี (ไม่ผ่านประกัน)
กรณีที่คู่กรณีไม่มีประกันภัยหรือไม่ยอมรับผิด คุณสามารถเรียกร้องค่าเสียหายโดยตรงจากคู่กรณี หรือผ่านการดำเนินคดีทางกฎหมาย

2.1. เรียกร้องโดยตรง

  • ติดต่อคู่กรณีและเจรจาเรียกค่าเสียหาย
  • ใช้เอกสารหลักฐาน เช่น
  • ใบเสนอราคาค่าซ่อม
  • ภาพถ่ายความเสียหาย
  • พยานบุคคลหรือกล้องหน้ารถ

2.2. ดำเนินคดีทางกฎหมาย
หากคู่กรณีปฏิเสธความรับผิดชอบ คุณสามารถดำเนินการผ่าน

  • ตำรวจ: เพื่อให้มีการบันทึกเหตุการณ์และไกล่เกลี่ย
  • ศาล: ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย

 

ข้อดี-ข้อเสียของแต่ละรูปแบบ


 

2.) ค่าเคลื่อนย้ายรถที่เกิดอุบัติเหตุ

ค่าเคลื่อนย้ายรถที่เกิดอุบัติเหตุ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนำรถที่ประสบอุบัติเหตุออกจากที่เกิดเหตุไปยังสถานที่ซ่อมแซมหรือพื้นที่จัดเก็บ เช่น อู่ซ่อมรถ หรือศูนย์บริการ โดยค่าใช้จ่ายนี้สามารถเรียกร้องได้จากฝ่ายผิดหรือบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง

กรณีที่สามารถเรียกร้องค่าเคลื่อนย้ายได้

1.ฝ่ายผิดรับผิดชอบโดยตรง

  • หากคุณเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายผิดต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายรถ
  • รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างนำรถไปยังสถานที่ซ่อม

2. การใช้ประกันภัยรถยนต์

  • หากคุณมีประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 หรือ 2+ บริษัทประกันของคุณอาจครอบคลุมค่าใช้จ่ายนี้
  • ในกรณีที่ฝ่ายผิดมีประกันภัย บริษัทประกันของฝ่ายผิดจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย

3. กรณีไม่มีประกัน หรือฝ่ายผิดไม่มีประกัน

  • คุณสามารถเรียกร้องค่าเคลื่อนย้ายรถได้โดยตรงจากฝ่ายผิด หรือผ่านการดำเนินคดี

สิ่งที่ครอบคลุมในค่าเคลื่อนย้ายรถ

  • ค่าบริการรถยก/รถลาก (Tow Truck)
  • ค่าใช้จ่ายในการขนส่งรถจากที่เกิดเหตุไปยังอู่หรือศูนย์บริการ
  • ค่าจอดรถในสถานที่เก็บรักษารถ (ถ้ามี)

หลักฐานที่จำเป็น
1. ใบเสร็จหรือใบแจ้งหนี้จากบริการรถยก/รถลาก
2. ภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุและสภาพรถก่อนการเคลื่อนย้าย
3. บันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ถ้ามี)
4. ใบแจ้งเคลมประกัน (หากใช้บริการประกันภัย)

3.) ค่ารักษาตัว

  •  ค่ารักษาตัวในกรณีที่เป็นฝ่ายถูกเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของการบาดเจ็บ, ระดับความรุนแรงของอาการ, โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่ไปใช้บริการ, และรูปแบบของประกันสุขภาพที่คุณมี หากคุณมีประกันสุขภาพหรือประกันภัยรถยนต์บางประเภท ก็อาจจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ในกรณีนี้

    โดยทั่วไปแล้ว ค่ารักษาพยาบาลในกรณีอุบัติเหตุจะครอบคลุมตามสิ่งที่ประกันได้ตกลงไว้ในกรมธรรม์ เช่น ค่าหมอ, ค่าห้องพักในโรงพยาบาล, ค่ายา, หรือค่าผ่าตัด หากไม่มีก็อาจต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

4.) ค่าทำขวัญ

  • ค่าทำขวัญมีลักษณะคล้ายกับค่ารักษาตัวทางกาย แต่ค่าสินไหมส่วนนี้ใช้เยียวยาทางใจ โดยบริษัทประกันภัยคู่กรณีมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ ซึ่งคุณอาจจะเรียกร้องไปก่อน เพื่อไม่ให้เสียสิทธิในการรับค่าทำขวัญ จากการเกิดอุบัติเหตุ

5.) ค่าขาดประโยชน์จากรถยนต์

  • หมายถึง ค่าเสียหายที่คุณสูญเสียไปเนื่องจากไม่สามารถใช้รถยนต์ของคุณในช่วงเวลาที่รถอยู่ระหว่างการซ่อมแซมจากอุบัติเหตุที่คุณเป็น "ฝ่ายถูก" โดยทั่วไปสามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์นี้จากคู่กรณีหรือบริษัทประกันของคู่กรณีได้

รายละเอียดของค่าขาดประโยชน์

ค่าเช่ารถทดแทน

  • หากคุณต้องการใช้รถในระหว่างที่รถของคุณซ่อม สามารถเรียกร้องค่าเช่ารถในจำนวนวันที่รถอยู่ในอู่ซ่อม
  • ค่าชดเชยอาจอิงตามค่าเช่ารถในท้องตลาด (รถยนต์ทั่วไปประมาณ 700-1,500 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับประเภทของรถ)

ค่าชดเชยรายวัน (กรณีไม่ได้เช่ารถ)

  • หากคุณไม่ได้เช่ารถ สามารถเรียกร้องค่าชดเชยรายวันแทนได้ โดยปกติจะเป็นจำนวนเงินเฉลี่ยที่คำนวณตามความเหมาะสม เช่น 500-1,000 บาทต่อวัน
  • การคำนวณจะขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่รถอยู่ในอู่

เอกสารที่ใช้เรียกร้อง
1. ใบประเมินเวลาซ่อมจากอู่หรือศูนย์บริการ
2.ใบเสร็จค่าซ่อมรถ
3.สำเนาใบแจ้งความหรือเอกสารบันทึกประจำวันจากตำรวจ
4.หลักฐานค่าเช่ารถ (ถ้ามี)

การเรียกร้องค่าขาดประโยชน์

กรณีคู่กรณีมีประกันภัย

  • ติดต่อบริษัทประกันภัยของคู่กรณีเพื่อแจ้งเรื่องและยื่นคำร้อง
  • ประกันภัยภาคสมัครใจ (เช่น ชั้น 1, 2+, 3+) ของคู่กรณีมักจะครอบคลุมค่าขาดประโยชน์นี้

กรณีคู่กรณีไม่มีประกันภัย

  • คุณต้องเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากคู่กรณีโดยตรง หรือดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อเรียกค่าเสียหาย

ข้อควรทราบ

  • บริษัทประกันภัยอาจมีวงเงินจำกัดสำหรับค่าเคลื่อนย้ายรถ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรมธรรม์
  • หากเรียกร้องโดยตรงจากคู่กรณี อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบเอกสารและการเจรจา

 

6.) ค่าเคลื่อนย้ายรถที่เกิดอุบัติเหตุ
ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน คือค่าชดเชยที่คุณสามารถเรียกร้องได้เมื่อทรัพย์สินของคุณได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุที่คุณเป็น "ฝ่ายถูก" ซึ่งรวมถึงทรัพย์สินทุกอย่าง ไม่ใช่แค่รถยนต์ โดยรายละเอียดมีดังนี้

1. ความเสียหายต่อรถยนต์

  • ค่าซ่อมแซมรถยนต์:เรียกร้องค่าซ่อมแซมตามความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยใช้ใบประเมินค่าซ่อมจากอู่หรือศูนย์บริการเป็นหลักฐาน
  • สามารถซ่อมที่อู่หรือศูนย์บริการที่คุณเลือกได้ (ถ้าประกันคู่กรณีไม่กำหนด)

ค่าเปลี่ยนอะไหล่

  • หากจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ เช่น กันชน ไฟหน้า หรือกระจกรถ คุณสามารถเรียกค่าทดแทนนี้ได

ค่ารถยนต์ใหม่ (กรณีเสียหายทั้งคัน)

  • หากรถเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ (Total Loss) คุณสามารถเรียกร้องมูลค่ารถ ณ เวลาที่เกิดเหตุจากคู่กรณีหรือบริษัทประกันภัย

2. ทรัพย์สินอื่นที่อยู่ในรถ

  • เช่น โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป กล้องถ่ายรูป หรือของมีค่าอื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ
  • คุณต้องมีหลักฐานแสดงมูลค่าทรัพย์สินนั้น เช่น ใบเสร็จซื้อของ รูปถ่ายทรัพย์สินก่อนเกิดเหตุ

3. ทรัพย์สินนอกตัวรถ

  • เช่น รั้วบ้าน ป้ายบอกทาง เสาไฟฟ้า หรือทรัพย์สินส่วนบุคคลอื่นที่ถูกชนหรือได้รับความเสียหาย
  • การเรียกร้องขึ้นอยู่กับการประเมินมูลค่าทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่

4. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่อง

  • ค่าลากรถ: หากรถของคุณต้องใช้บริการรถลากหลังเกิดเหตุ คุณสามารถเรียกค่าลากรถจากคู่กรณีหรือประกันของเขาได้
  • ค่าเดินทางเพิ่มเติม: เช่น ค่าแท็กซี่หรือค่ารถสาธารณะในระหว่างที่รถกำลังซ่อมแซม

5. เอกสารที่ใช้เรียกร้องค่าเสียหาย

  • ใบประเมินค่าซ่อมแซมรถหรือทรัพย์สินอื่น
  • ใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าลากรถ ค่าซ่อม ค่าทดแทน
  • รูปถ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้น
  • สำเนาบันทึกประจำวันจากตำรวจ (เพื่อยืนยันว่าคุณเป็นฝ่ายถูก)

7. ค่าเสื่อมราคา

ค่าเสื่อมราคา ในกรณีอุบัติเหตุ หมายถึง มูลค่าของทรัพย์สิน (เช่น รถยนต์) ที่ลดลงเนื่องจากความเสียหายหรือการซ่อมแซม แม้ว่ารถจะถูกซ่อมจนกลับมาใช้งานได้ แต่ราคาขายต่อของรถมักลดลงเพราะมีประวัติการชนหรือการซ่อม

ลักษณะของค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ

  • เกิดจากความเสียหายที่ไม่สามารถซ่อมคืนสภาพเดิมได้ 100%เช่น   การซ่อมแซมตัวถัง, สีรถ หรือเครื่องยนต์
  • เกิดจากประวัติการชนที่ส่งผลต่อมูลค่ารถ  รถที่เคยชนหนักจะมีราคาขายต่อในตลาดต่ำกว่ารถที่ไม่มีประวัติ

 

การเรียกร้องค่าเสื่อมราคา

  • คุณสามารถเรียกร้องค่าเสื่อมราคาจากฝ่ายผิดหรือบริษัทประกันภัยของฝ่ายผิดได้ในกรณีที่คุณเป็นฝ่ายถูก

1.ประเมินมูลค่าความเสียหาย

  • ใช้บริการจากผู้ประเมินอิสระ (เช่น บริษัทประเมินทรัพย์สิน) หรืออู่ซ่อมที่มีความเชี่ยวชาญ
  • เปรียบเทียบมูลค่ารถก่อนและหลังการซ่อม

2.เตรียมเอกสาร

  • หลักฐานการประเมินราคาก่อนและหลังการซ่อม
  • ใบเสนอราคาหรือใบเสร็จค่าซ่อม
  • รายละเอียดของเหตุการณ์ (เช่น รายงานอุบัติเหตุ, รูปถ่ายความเสียหาย)

3. ยื่นคำร้องต่อบริษัทประกันภัยหรือฝ่ายผิด

  • แจ้งความประสงค์ขอชดเชยค่าเสื่อมราคาพร้อมแนบหลักฐาน

4.หากไม่ได้รับการชดเชยที่เหมาะสม

  • สามารถดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย

กรณีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทประกันภัย

  • ประกันชั้น 1: บริษัทประกันของคุณอาจไม่ครอบคลุมค่าเสื่อมราคา แต่คุณสามารถเรียกร้องจากฝ่ายผิดได้
  • ประกันของฝ่ายผิด: บริษัทประกันอาจพิจารณาค่าเสื่อมราคาตามความเหมาะสม

ตัวอย่างค่าเสื่อมราคาที่เรียกร้องได้

  • รถยนต์ของคุณมูลค่า 700,000 บาท ก่อนเกิดเหตุ แต่หลังการซ่อม มูลค่าลดลงเหลือ 650,000 บาท
  • คุณสามารถเรียกร้องค่าเสื่อมราคาจำนวน 50,000 บาท

ข้อควรทราบ

  • ค่าเสื่อมราคามักถูกเจรจาหรือประเมินจากหลายปัจจัย เช่น อายุรถ, สภาพก่อนเกิดเหตุ, และลักษณะการซ่อม
  • ไม่ใช่ทุกกรณีที่สามารถเรียกร้องค่าเสื่อมราคาได้ ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของหลักฐานและการตกลงกับคู่กรณี

 

 

 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่                    
 โทรหาคูนย์บริการลูกค้า ธีร์ ทำดีแคร์  096-192-9698

 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้